• 地點:臺灣
• 發布日期: 2023/06/21
• 單位:衛生福利部
• 更新日期:2023/06/21
• 點閱次數:43

เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาที่แนวโน้มที่สูงขึ้น อีกทั้งในสถานพยาบาลและสถาบันทางการแพทย์ถือว่าเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อสูง และผู้ได้รับการดูแลในสถาบันสวัสดิการผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงหรือเสียชีวิตได้ง่ายหลังติดเชื้อ เพื่อเป็นการคุ้มครองสุขภาพของประชาชนและเจ้าหน้าที่ในสถาบัน ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2023 เป็นต้นไป ในสถานพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ ศูนย์ดูแลทั่วไปและสถาบันสวัสดิการผู้สูงอายุจะกำหนดให้เป็นสถานที่ที่ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย และคงรักษาข้อกำหนดในการลงโทษปรับ สำหรับสถาบันบริการดูแลระยะยาวอื่น ๆ ศูนย์ดูแลทหารผ่านศึก  สถาบันบริการเด็กและเยาวชน สถาบันสวัสดิการผู้พิการทางจิตและร่างกายและรถพยาบาล จะเปลี่ยนมาเป็นแนะนำให้สวมใส่หน้ากากอนามัย ข้อกำหนดหลังปรับเปลี่ยนมีดังต่อไปนี้ :

1. พื้นที่ภายในของสถานที่ที่กำหนดดังต่อไปนี้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดในการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

(1) สถานพยาบาล : โรงพยาบาล คลินิกและสถานพยาบาลอื่น ๆ

(2) สถาบันทางการแพทย์ : เภสัช ห้องปฏิบัติทางการแพทย์ สถานที่ฉายรังสีทางการแพทย์ สถานที่กายภาพบำบัด สถานที่บำบัดทางอาชีพ สถาบันช่วยทำคลอด สถาบันฟื้นฟูสภาพทางจิต สถาบันดูแลพยาบาลในบ้าน สถานที่ดูแลการหายใจในบ้าน ศูนย์ดูแลพยาบาล

(3) สถาบันสวัสดิการผู้สูงอายุ : สถาบันดูแลระยะยาว สถาบันบ้านคนชรา  และสถาบันสวัสดิการผู้สูงอายุอื่น ๆ

กรณียกเว้นที่ไม่ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยในสถานที่กล่าวไว้ข้างต้น ได้แก่ : การรับประทานอาหาร การถ่ายรูป การตรวจสอบ การรักษาหรือกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สามารถที่จะสวมใส่หน้ากากอนามัย

2. แนะนำให้สวมใส่หน้ากากอนามัยในกรณีพิเศษ นอกเหนือจากสถานการณ์เดิมที่ระบุไว้ดังนี้ : มีอาการไข้หรือติดเชื้อทางเดินหายใจ ผู้สูงอายุหรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำออกไปข้างนอก สถานที่ที่มีฝูงคนหนาแน่นที่ไม่สามารถรักษาระยะหรือถ่ายเทอากาศไม่ดี เมื่อมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้สูงอายุหรือผู้มีภูมิคุ้มกันน้อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน) โดยสารอุปกรณ์ขนส่งสาธารณะและอุปกรณ์ขนส่งเฉพาะทาง (รถบัสคนพิการ รถโรงเรียน รถพิเศษสำหรับอนุบาล รถรับส่งโรงเรียน) ยังคงต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ปรับเปลี่ยนให้ยังคงแนะนำให้สวมหน้ากาอนามัย "เวลาโดยสารรถพยาบาล" และ "เวลาเข้าออกสถานที่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาดสูง เช่น สถาบันบริการดูแลระยะยาว ศูนย์ดูแลทหารผ่านศึก สถาบันบริการเด็กและเยาวชน สถาบันสวัสดิการผู้พิการทางจิตและร่างกาย" 

3. สถานที่ในร่มและพื้นที่ในร่มอื่น ๆ ให้ประชาชนตัดสินในการสวมใส่หน้ากากอนามัยด้วยตนเอง

4. มาตรการที่กล่าวข้างต้นเป็นข้อกำหนดทั่วไป สำหรับรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินตามข้อกำหนดจากหน่วยงานผู้มีอำนาจ

กรมควบคุมโรคได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เมื่อคำนึงถึงอัตราตรวจคัดกรองเชิงบวกสำหรับผู้อาศัยในสถาบันอยู่ระหว่าง 1.4%-1.6% ในช่วงที่ผ่านมา และสถาบันให้การดูแลแบบพักแรมส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่ออาการรุนแรง จึงควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเป็นกลุ่มในสถาบัน จึงได้มีการขยายเวลามาตรการตรวจคัดกรอง COVID-19 ด้วยงบส่วนกลางในสถาบันสวัสดิการผู้สูงอายุและศูนย์ดูแลทั่วไปเป็นเวลาประจำ : เป้าหมายบริการยังคงไว้ซึ่งความถี่ในการตรวจ ATK สัปดาห์ละครั้ง และสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายนของปีนี้ และต้องทำการตรวจ ATK หากเป้าหมายบริการมีอาการ หากมีกรณีตรวจเจอเป็นผลบวกที่ต้องรับยาต้านไวรัสทันที ควรขอให้คลินิกหรือสถานพยาบาลที่รับผิดชอบโดยเฉพาะทำการรักษาทันที และปฏิบัติตามแนวทางในการช่วยเหลือ การกักกันหรือรักษาผู้ติดเชื้อ ทำการตรวจคัดกรอง ATK ให้แก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเมื่อมีอาการ นอกจากนี้หากทางสถาบันมองว่ามีความจำเป็น (เช่น มีประวัติสัมผัส รวมกลุ่ม เป็นต้น) ก็สามารถตรวจคัดกรองแบบ ATK ด้วยงบส่วนกลางให้แก่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน หากผู้อยู่อาศัยหรือเป้าหมายบริการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเป็นผู้ที่ฟื้นฟูจากการติดเชื้อ ไม่ต้องตรวจคัดกรองภายในเวลา 3 เดือน และจะปรับเปลี่ยนความถี่ในการตรวจคัดกรองตามสถานการณ์ของการแพร่ระบาดในภายหลัง ชุดตรวจ ATK จะดำเนินการผ่านงบส่วนกลางซึ่งจะส่งมอบให้แก่สถาบันข้างต้นเพื่อใช้งานตามลำดับ

กรมควบคุมโรค เน้นย้ำว่า หลังจากการป้องกันการแพร่ระบาดกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ยังคงใช้ดัชนีชี้วัดหลายด้าน เช่น แนวโน้มแจ้งการติดเชื้อ (โรคแทรกซ้อน) สภาพการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ จำนวนการสั่งยาต้านไวรัสแบบรับประทาน การตรวจติดตามไวรัสกลายพันธุ์ เป็นต้น และเตือนประชาชนควรให้ความร่วมมือกับข้อกำหนดและคำแนะนำในการสวมใส่หน้ากากอนามัย ปฏิบัติอุปนิสัยด้านอนามัยที่ดี เช่น ขยันล้างมือและมีมารยาทที่ดีเวลาไอหรือจาม คุ้มครองตนเองและคุ้มครองผู้อื่น ร่วมกันรักษาความปลอดภัยภายในประเทศและเขตชุมชน