按 Enter 到主內容區
:::

回培力新住民資訊網首頁

โซนป้องกันโรค
:::

วันที่ 1 ธันวาคมเริ่มปฏิบัติแผนงานป้องกันการแพร่ระบาดในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ขอให้ประชาชนและสถานพยาบาลต่างๆ กรุณาให้ความร่วมมือกับมาตรการที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง

  • 回上一頁
  • 友善列印
字型大小:
  • 地點:Taiwan
  • 發布日期:
  • 單位:衛生福利部疾病管制署
  • 更新日期:2020/11/25
  • 點閱次數:402

วันนี้ (วันที่ 18) ศูนย์บัญชาการกลางป้องกันโรคติดต่อแถลงว่า ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวการแพร่ระบาดของโรคโควิด19ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละวันมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่สูงขึ้นเรื่อยๆ และจำนวนการเดินทางเข้าประเทศก็มีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อในชุมชนภายในประเทศ และหลีกเลี่ยงการสร้างภาระให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ ในวันที่ 1 ธันวาคมปีนี้(2020) จะเริ่มต้น “มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว” พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับมาตรการ “การกักตัวเมื่อเข้าเขตแดน” “การป้องกันการแพร่ระบาดในชุมชน” และ “ความเคร่งครัดในการรักษาพยาบาล” จึงขอให้ประชาชนและสถานพยาบาลให้ความร่วมมือและนำไปปฏิบัติ


1. การกักตัวเมื่อเข้าเขตแดน : ก่อนที่ผู้เดินทางจะเดินทางเข้าประเทศหรือแวะเปลี่ยนเครื่อง จำเป็นต้องแนบใบรายงานผลการตรวจที่มีระยะเวลาภายใน 3 วันระบุว่าผลตรวจเชื้อโควิด19เป็นลบ


ศูนย์บัญชาการกลางชี้ว่า การแพร่ระบาดในต่างประเทศยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าปลายปีนี้และต้นปีหน้าจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการป้องกันการแพร่ระบาด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมจนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปีหน้า(2021)(ช่วงเวลาเดินทาง) ผู้เดินทางเข้าประเทศหรือแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินไต้หวัน ไม่ว่าจะสถานะใดก็ตาม(ชาวไต้หวันหรือชาวต่างชาติ ฯลฯ) หรือมาไต้หวันด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม(ศึกษาต่อ ทำงาน ติดต่อราชการ ฯลฯ) จำเป็นต้องแนบ “ใบรายงานผลการตรวจเชื้อโควิด19 ที่มีระยะเวลาก่อนขึ้นเครื่อง 3 วัน(วันทำการ) ระบุว่าผลตรวจเป็นลบ” จึงจะสามารถเช็คอินขึ้นเครื่องเดินทางมาไต้หวันได้ โดยมีกระทรวงคมนาคมคอยกำกับดูแลและตรวจสอบสายการบินแต่ละบริษัทอย่างเคร่งครัด หากผู้เดินทางมาถึงไต้หวันแล้วพบว่าใบรายงานผลการตรวจเป็นเท็จ หรือมีการปฏิเสธ หลีกเลี่ยง ขัดขวางการกักตัวหรือมาตรการที่เกี่ยวข้อง ภายใต้บทบัญญัติควบคุมโรคติดต่อมาตรา 58 และ 69 จะต้องรับโทษปรับตั้งแต่ 1 หมื่นเหรียญจนถึง 1 แสน 5 หมื่นเหรียญไต้หวัน กรณีที่ใบรายงานผลเป็นเท็จจะได้รับโทษในความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารอีกด้วย


ศูนย์บัญชาการกลางระบุว่า “ใบรายงานผลการตรวจเชื้อโควิด19 ที่เป็นลบ” จำเป็นต้องออกโดยสถานพยาบาลที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลในประเทศที่ออกเดินทาง ภาษาที่ใช้คือภาษาอังกฤษ ภาษาจีน หรือภาษาจีนเทียบกับภาษาอังกฤษเป็นหลัก เนื้อหาในรายงานจำเป็นต้องระบุ “ชื่อนามสกุลตามหนังสือเดินทางของผู้เดินทาง” “วันเดือนปีเกิด(หรือหมายเลขหนังสือเดินทาง)” “วันที่ตรวจและวันรายงานผล” “ชื่อโรค” “วิธีการตรวจ” และ “ผลการตรวจ” เป็นต้น มาตรการเสริมที่เกี่ยวข้องและเรื่องที่ควรให้ความร่วมมือมีดังนี้


1.1 สำหรับเอกสารที่ใช้ภาษาฝรั่งเศลและภาษาสเปนหรือภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษนั้น กรณีที่เป็น “ภาษาราชการของประเทศที่ออกเดินทาง” และทางเจ้าหน้าที่ภาคสนามของสายการบินในประเทศต้นทางสามารถรับรองเนื้อหาในใบรายงานผล กรณีนี้สามารถยอมรับได้


1.2 วันที่ที่ระบุในใบรายงานผลการตรวจ “ภายใน 3 วัน” ก่อนการเช็คอินขึ้นเครื่อง คำนวณจาก “วันรายงานผล” และ “วันทำการ” ดังนั้นจึงสามารถยกเว้นวันหยุดราชการของประเทศที่ออกเดินทางได้


1.3 รูปแบบของใบรายงานผลการตรวจสามารถเป็นกระดาษ (ฉบับจริง/ถ่ายสำเนา) หรือใบรายงานผลอิเล็กทรอนิกส์ แต่เนื้อหาจะต้องสามารถอ่านได้ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นรายการผลตรวจต้องครบถ้วนและไม่มีข้อผิดพลาด


1.4 วิธีการตรวจจะต้องใช้วิธีการตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารพันธุกรรม (เช่น PCR, RT-PCR, NAA, NAT เป็นต้น) ส่วนการตรวจภูมิคุ้มกัน (Immunoserology) ตรวจเชื้อไวรัสแอนติเจน(Ag) หรือตรวจภูมิคุ้มกัน(IgG หรือ IgM) การตรวจเหล่านี้ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรการนี้


2. การป้องกันการแพร่ระบาดในชุมชน : สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าออกสถานที่ 8 ประเภท หากได้รับการตักเตือนแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตามจะได้รับโทษตามกฎหมาย


ศูนย์บัญชาการกลางระบุว่า จากการพิจารณาเห็นว่านอกจากโรคโควิด19 ที่แพร่ระบาดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวแล้ว ยังมีโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจหลายชนิดที่แพร่ระบาดอีกด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระงานและความกดดันให้แก่หน่วยงานทางการแพทย์ ดังนั้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามระเบียบการสวมหน้ากากอนามัยของประชาชนในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง และลดการแพร่กระจายและระบาดของโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ รวมถึงเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรทางการแพทย์มากเกินไป ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมเป็นต้นไปจึงมีระเบียบบังคับให้ประชาชนที่เข้าไปในสถานที่ 8 ประเภทคือ “สถานพยาบาล รถโดยสารสาธารณะ  ห้างร้านค้า สถานศึกษา นิทรรศการงานประกวด สถานกิจกรรมบันเทิง ศาสนสถาน สถานที่ติดต่อกิจธุระ” เป็นต้น(ตัวอย่างสถานที่ระบุในเอกสารแนบ) จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย ผู้ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัยตามระเบียบที่กำหนดไว้ และหากได้รับการตักเตือนแล้วแต่ไม่ปฏิบัติตาม จะถือว่าฝ่าฝืนบทบัญญัติการควบคุมโรคติดต่อมาตรา 37 ข้อ 1 วรรค 6 หน่วยงานรัฐบาลในท้องที่จะปรับเป็นจำนวนเงิน 3 พันเหรียญขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 1 หมื่น 5 พันเหรียญไต้หวัน


ศูนย์บัญชาการกลางอธิบายเพิ่มเติมว่า สถานที่ที่กล่าวไปแล้วข้างต้นมีความยากลำบากในการรักษาระยะห่าง ทางสังคมหรือจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ไม่เจาะจง(คนที่ไม่รู้จัก) จึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการกระจายและแพร่ระบาด ด้วยเหตุนี้จึงขอให้ประชาชนที่เข้าไปในสถานที่หรือร่วมกิจกรรมดังกล่าวจะต้องสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันโรคโควิด19แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคชนิดอื่นๆ ที่แพร่กระจายผ่านละอองฝอยหรืออากาศได้ หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารในสถานที่ดังกล่าวข้างต้น  ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องมีการรักษาระยะห่างกับบุคคลที่ไม่เจาะจงหรือมีอุปกรณ์ปิดกั้นที่เหมาะสม จะสามารถถอดหน้ากากอนามัยออกได้ชั่วคราวระหว่างการรับประทานอาหาร


สำหรับสถานที่กลางแจ้งที่มีผู้คนมารวมตัวกัน (เช่น สถานที่ท่องเที่ยวกลางแจ้ง สวนสนุก ตลาดนัดกลางคืน ตลาดสด) หรือกิจกรรมที่มีผู้คนมารวมตัวกันในสถานที่กลางแจ้ง (เช่น ขบวนพาเหรด ขบวนแห่เจ้า งานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่า ฯลฯ) ขอแนะนำให้ผู้จัดงานหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสถานที่ใช้วิธี “การจำกัดจำนวนคน” ในการควบคุมดูแล  ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในกิจกรรมหรือสถานที่จัดงาน อีกทั้งขอให้ผู้ที่ร่างกายไม่สบายมีไข้หรืออาการที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ควรหลีกเลี่ยงการไปสถานที่ดังกล่าว และควรสวมหน้ากากอนามัยเมื่อไม่สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้ รวมถึงขอเตือนให้หน่วยงานที่จัดกิจกรรมชุมนุมควรศึกษา “ข้อแนะนำในการตอบสนองต่อโรคโควิด19 (โรคปอดบวมอู่ฮั่น) : การชุมนุมในที่สาธารณะ” ประเมินความเสี่ยงและกำหนดแผนฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาด รวมถึงพยายามใช้การแจ้งชื่อจริงและสวมหน้ากากอนามัย


3. ความเคร่งครัดในการรักษาพยาบาล : เสริมด้านการแจ้งเหตุและการตรวจวินิจฉัย 


ศูนย์บัญชาการกลางระบุว่า เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานทางการแพทย์ในประเทศต้องเผชิญกับภาระที่เพิ่มเป็นสองเท่าจากโรคปอดบวมอู่ฮั่นและไข้หวัดใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ในแผนงานฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวได้กำหนดให้การเสริมด้านการแจ้งเหตุและการตรวจวินิจฉัยเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาด หลังการพิจารณาแล้ว ได้กำหนด 4 มาตรการใหญ่ออกมา ประกอบด้วย 1. กำหนดให้หน่วยงานทางการแพทย์ใช้ฎหมายการแจ้งเหตุกรณีที่มีการพบโรคติดต่อ 2. กำหนดดัชนีวัดผลเพื่อมอบรางวัลสำหรับการแจ้งเหตุและการตรวจวินิจฉัย “เสริมการคัดกรองผู้ป่วยปวดอักเสบในแผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยฉุกเฉินในชุมชน” “เสริมการคัดกรองผู้ป่วยใน” และ “เสริมการตรวจสุขภาพของบุคลากรทางการแพทย์” เป็นต้น 3. เสริมความแข็งแกร่งด้านการแจ้งเหตุและตรวจวินิจฉัยผ่านระบบบัตรประกันสุขภาพ 4. ปรับปรุงแก้ไขด้านการกักตัวในที่พักเมื่อไม่มีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด19/ขั้นตอนการจัดการในเรื่องที่เกี่ยวข้องและการตรวจวินิจฉัยสำหรับผู้ที่กักตัว แพทย์พยาบาลเพิ่มการตื่นตัวและเสริมเรื่องการแจ้งเหตุตรวจวินิจฉัย เสริมการตรวจตราสอดส่องและแจ้งเหตุน่าสงสัยหรือการส่งรักษาต่อ ในขณะเดียวกันขอให้หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่กำกับดูแลสถานพยาบาลในสังกัดอย่างต่อเนื่อง สร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานพยาบาลซึ่งเป็นด่านหน้าในการป้องกันการแพร่ระบาด


ศูนย์บัญชาการกลางชี้ว่า การแพร่ระบาดในต่างประเทศยังคงรุนแรงต่อเนื่อง ในขณะที่การควบคุมการแพร่ระบาดในไต้หวันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนเข้าเมือง สถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ทำงานกันอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง รวมไปถึงความร่วมมือจากทางภาครัฐและภาคเอกชนช่วยกันปกป้องดูแลสุขภาพของประชาชนในประเทศ จึงขอความร่วมมือจากประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของทางรัฐบาลต่อไป ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลงานการป้องกันการแพร่ระบาดที่ทำได้ไม่ง่ายนี้จะสำเร็จได้


top